วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การผลิตกลิ่นของน้ำหอม


ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า กลิ่นของน้ำหอมที่ได้จากต้นไม้นั้น จะมาจากดอกไม้แต่น่าประหลาดใจมากส่วนอื่นๆของต้นไม้นั้นเราก็นำมาใช้ทำน้ำหอมได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ใบไม้ เนื้อไม้ ผล เมล็ด เปลือก และยางไม้ นอกจากส่วนต่างๆ ที่กล่าวมานี้ เรามาทำความรู้จักกับ ชนิดของต้นไม้ ที่คนปรุงน้ำหอม นำมาใช้ในการทำน้ำหอม ที่นิยมนำมาใช้มาก ในอันดับต้น ๆ ดังนี้


Balsam : เป็นยางไม้หอมชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง Balsam ที่นิยมในแวดวงการผลิตเครื่องหอมในปัจจุบัน เป็นอันดับต้นๆ ก็คือ Balsam จากประเทศเปรู

Bergamot : ก็คือมะกรูดนั่นเอง ส่วนของมะกรูดที่ใช้สกัดทำน้ำหอมก็คือ บริเวณเปลือกของลูกมะกรูด กลิ่นหอมที่สกัดจากผิวของลูกมะกรูดส่วนใหญ่จะนำไปใช้ทำน้ำหอมสำหรับผู้หญิง

Frankincense : เป็นยางไม้หอมจากต้นไม้จำพวก Boswellia เจ้าต้นไม้ชนิดนี้เป็นต้นไม้ขนาดเล็กที่เจริญเติบโตทางตอนใต้ของ Arabia และ Somalia ซึ่งยางไม้ชนิดนี้เป็นส่วนสำคัญมากในการทำเครื่องหอมสมัยอาณาจักรโรมันโบราณ ในยุคปัจจุบันเราใช้ Frankincense เป็นส่วนผสมของน้ำหอมสมัยใหม่ ถึง 13 %

Galbanum : เป็นยางไม้ของต้น ยี่หร่า จากประเทศ lran เจ้า Galbanum จะมีกลิ่นออกไปทาง Spicy

Jasmine : ต้นมะลิใช้เป็นส่วนผสมหลักของน้ำหอมในปัจจุบัน มากกว่า 80% เป็นรองก็แค่ดอกกุหลาบ พันธุ์ของมะลิที่นิยมใช้ทำน้ำหอมก็คือ มะลิ จากประเทศ สเปน หรือที่เรียกกันว่า Royal Jasmine ซึ่งใช้มากที่สุดในยุโรป มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แล้ว Royal Jasmine นี้จะเป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมที่แพงที่สุดเพราะว่า จากมะลิ 500 ปอนด์ จะกลั่นออกมาใช้ทำน้ำหอมได้แค่เพียง 0.1% เท่านั้น

Labdanum : เป็นหยดเล็ก ๆ ของยางไม้จากใบของต้น Cistus ที่ขึ้นอยู่ในตะวันออกกลาง เราใช้ยางไม้ชนิดนี้ ถึง 33% ในการทำน้ำหอมในปัจจุบัน

Lavender : เป็นส่วนผสมหลักในกาทำน้ำหอมมานานแล้ว นับตั้งแต่สมัยกรีก - โรมันโบราณ ครั้งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส เคยปลูกต้น Lavender นี้ถึง 5000ตันต่อปีมาแล้ว

Lamon : ผิวของผลมะนาวเป็นส่วนผสมที่จำเป็น ในการทำน้ำหอม ที่ต้องการให้ได้กลิ่นหอม ที่สดชื่น สดใส มีชีวิตชีวา

Lily of the Valley :ในช่วงเริ่มแรกของการทำน้ำหอมนั้นเราได้กลิ่นหอมของดอก Lily โดยการใส่ดอก Lilyลงไปในน้ำมัน แต่ในปัจจุบันเราใช้กรรมวิธีที่ทันสมัยโดยสกัดเอากลิ่นหอมของ Lily ออกมาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เราใช้ Lily เป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมประมาณ 14% ในปัจจุบัน

Myrrh : เป็นยางไม้จากต้น Myrrh ซึ้งพบได้ใน Arabia,Somalia และ Ethiopia ในสมัยโบราณเขาใช้ยางไม้ชนิดนี้ทำเป็นยาสมุนไพร และใช้ทำน้ำยาดองศพ แต่ในปัจจุบันนักปรุงน้ำหอมบอกว่าคุณสมบัติที่เด่นของ Myrrh นี้คือ มันเป็นตัวช่วยให้กลิ่นของน้ำหอมติดร่างกายทนทานยิ่งขึ้น

Neroli : ได้จากการกลั่นจากดอกของต้นส้ม ชื่อ Neroli นี้ได้มาจากในช่วง หลังทศวรรษที่ 16 โดยภรรยาของเจ่าชายอิตาลีคนหนึ่งใช่ Neroli ผสมในน้ำที่เธออาบ ทำให้กลิ่นหอมนี้เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรป แต่จริงๆแล้ว Neroli เข้ามาในยุโปนานแล้ว ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 โดยชาวอาหรับเป็นผู้นำเข้ามา ในปัจจุบันใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมถึง 12%

Oak Moss : เป็น Lichen ที่อยู่ตาม ต้นโอ๊ก ต้นสน และต้นไม้อื่นๆ ในแถบเทือกเขาทางเหนือของแอฟริกา และ ยุโรป เราใช้ Oak Moss เป็นตัวยึดกลิ่นน้ำหอมไว้ไม่ให้ระเหยไปเร็ว

Rose : เป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมที่สำคัญมาก ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่ Classic ในการทำน้ำหอมเลยก็ว่าได้ กวีชาว Greek ที่ชื่อ Sappho เรียกดอกกุหลาบไว้ว่า "Queen of the Flowers" แต่ก่อนกุหลาบจะเจริญเติบโตได้ดีในฝรั่งเศส แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาให้ปลูกในส่วนอื่นๆได้ เช่นในจังหวัด Kazanlak ของ Bolgaria และก็มี Egypt , Morocco และที่อื่นๆอีกมากมาย กลิ่นหอมของกุหลาบที่แตกต่างทั้ง 17 กลิ่น เรานำมาใช้ทำน้ำหอมมากถึง 75 %

Sandalwood : เป็นไม้หอมประเภทเดียวกับไม้จันทร์ ไม้หอมคุณภาพดีนี้ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศอินเดีย และ อินโดนีเซีย

Tree Moss : พืชจำพวกมอสที่เราใช้ทำน้ำหอมนี้ส่วนใหญ่จะเกาะอยู่ตามต้นโอ๊ก และ ต้นสน มอสนี้ส่วนใหญ่จะทำเป็นน้ำหอมสำหรับผู้ชาย

Viole : เราได้กลิ่นหอมจากต้น Viole นี้จากดอก ใบ ของมัน ที่ใช้ในการทำน้ำหอม แต่ในปัจจุบันต้น Viole มีราคาแพงมาก เขาจึงใช้การสังเคราะห์กลิ่นจาก Violet แทน



ไม่มีความคิดเห็น: