วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Mr. Jean-Jacques Fiallot

ผู้ถือครอง

นอกจากรางวัลอันมากมายและความมั่งคั่งที่ท่านได้รับ Maurice Berger ได้ประสบความ สำเร็จเกี่ยวกับการสรรค์สร้างผลิตภัณฑ์และธุรกิจ ท่านตัดสินใจถอนตัวออกจากงานที่ทำ ในขณะที่ท่านอายุ 60 ปี ในปี ค.ศ. 1926 ท่านได้นำแผนการที่คิดเอาไว้ไปปรึกษากับ ครอบครัวและพนักงานของท่านบางคนก่อนที่จะดำเนินการติดต่อกับผู้จัดการโรงงานของท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่รักต่อการเสาะหาการลงทุนทางด้านธุรกิจใหม่ๆ และต่อมาท่านผู้นี้ซึ่งก็คือ Jean-Jacques Faillot ก็ได้ถือกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของและท่านยังเป็นผู้ที่มีความ สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาในอนาคตของ Lampe Berger




Maurice Berger ขายร้านของเขาให้กับ Jean-Jacques Faillot เจ้าของคนใหม่ในวัยเพียง 45 ปี เดิมทีเขาผู้่นี้คือผู้จัดการโรงงานอุตสาหกรรมทางด้านกระดาษแข็ง บุคคลสำคัญทั้งสองท่านนี้ได้ถูกทำให้รู้จักกันโดยความบังเอิญ นั่นคือในขณะที่ Jean-Jacques Faillot เดินทางไปยังตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสเกี่ยวกับเรื่องงานของเขา เขาได้พบกับผู้โดยสารผู้หนึ่งซึ่งเป็นพนักงานของ Maurice Berger Jean-Jacques Faillot ได้ถูกบอกเล่าเกี่ยวกับการบอกขายกิจการของ Maurice Berger และเขาเกิดสนใจและตระหนักอย่างยิ่งว่าจะเป็นการลงทุนอันคุ้มค่า และในเดือนสิงหาคมในปี ค.ศ. 1927 เขาลงทุนด้วยเงิน 750,000 ฟรังซ์ (ประมาณ 2 ล้านฟรังซ์ที่ปี ค.ศ. 1998) และเขาก็ได้กลายเป็นเจ้าของกิจการคนใหม่

Mr.Jean-Jacques Faillot

Mr.Jean-Jacques Faillot ยังคงใช้ชื่อ Berger เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญในด้านการค้า และมีแนวทางที่จะให้ตะเกียง Berger เป็นผลิตภัณฑ์หลักของธุรกิจใหม่ของเขา ตัวเลขการขายตะเกียงนั้นเพิ่มทวีคูณไปเรื่อยๆ จากเพียง 12 ดวง ไปจนถึงกว่า 100 ดวง ทั้งนี้เนื่องมาจากความพยายามและทุ่มเทของ Jean-Jacques Faillot ด้วยผลิตภัณฑ์อันหลากหลายของตะเกียง Berger เชื่อว่าเป็นที่พึงพอใจแก่ทุกๆ รสนิยม สำหรับตะเกียงรูปแบบธรรมดา ซึ่งเป็นแก้วใสปราศจากสี จะมีราคาอยู่ที่ 20 ฟรังซ์ฝรั่งเศส ในขณะที่ตะเกียงดวงที่มีความหรูหราที่สุดซึ่งทำจาก Baccarat Crystal นั้นมีราคาสูงถึง 1500 ฟรังซ์ฝรั่งเศสในช่วงเวลานั้น Mr.Jean-Jacques Faillot เป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นต่อสิ่งสวยงาม และคุณภาพของตะเกียง เขาเข้าร่วมงานกับบริษัทที่มีชื่อเสียงหลายบริษัท ที่มีความชำนาญด้านตกแต่งบ้าน ขวดน้ำหอมและขวดสเปรย์ต่างๆ ดังนั้นผู้คิดค้นที่มีชื่อเสียงในช่วงนั้นจึงได้ผลิตตะเกียง Berger : Latique, Galle, Baccarat, Saint-Louisd’ Argental, Camille, Tharaud ซึ่งนี่เองเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าจุดมุ่งหมายของ Mr.Jean-Jacques Faillot คือการทำให้ตะเกียง Berger ได้จัดอยู่ในสินค้าที่หรูหรามีระดับ




เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งของ Mr.Jean-Jacques Faillot ซึ่งเกี่ยวกับตะเกียง Berger ก็คือเขาริเริ่มด้านการจัดทำโฆษณาขนาดใหญ่ สื่อโฆษณาที่เขาให้ความสนใจเป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ในฝรั่งเศสของเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม เนื่องด้วยความมุ่งเน้นที่ว่าตะเกียงของ Berger จะกลายมาเป็นของขวัญสำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสหรือปีใหม่ โดยเป็นการบ่งชี้ถึงรสนิยมที่ทันสมัยสำหรับการเลือกของขวัญ ด้วยรูปแบบแนวทางการเจาะตลาดที่แตกต่างกัน Mr.Jean-Jacques Faillot จัดตั้งร้านค้าปลีกขึ้นหลายๆ ร้าน เพื่อสำหรับขายตะเกียงของ Berger ยิ่งไปกว่านี้เขายังมีส่วนทำให้การวางขายตะเกียงครอบคลุมไปทั่วโลกโดยผ่านผู้แทนจำหน่ายในกรุงลอนดอน แม้กระทั่งบุคคลสำคัญชาวฝรั่งเศสในช่วงนั้น อาทิเช่น Colette หรือ Jean Cocteau ยังให้ความสนใจอย่างยิ่งในการหาซื้อตะเกียงรุ่นโปรดของพวกเขา ในขณะเดียวกันศิลปินผู้โด่งดัง คือ Pablo Picasso ก็ยังกล่าวชื่นชมเกี่ยวกับกลิ่นน้ำหอม ozoalcool ว่ามันเป็นกลิ่นที่ถูกพึงปราถนามากที่สุดเลยก็ว่าได้ ยุคทองอันเฟื่องฟูได้มาจบลงในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 Jean-Jacques Faillot ประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ จนกระทั่งเสียชีวิตในระหว่างการปะทะกันของรถถังเยอรมัน ดังนั้น Gilbert Faillot ลูกชายของเขาจึงกลายเป็นผู้ดำเนินกิจการ Berger ในช่วงต่อมา






ช่วงหลังสงครามโลกการเติบโตทางการค้า และสถานการณ์ทางการเงินยังคงดำเนินไปด้วยดี แต่ต่อมาหลังจากที่ Gilbert Faillot เป็นผู้บริหารบริษัทอยู่ถึง 32 ปี เขาก็รู้สึกว่าเขาสมควรจะหยุดพักจากการทำงาน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจประกาศขายบริษัท

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เลือกคณะเรียนอย่างไร ไม่ให้ "ซิ่ว"

ก้าวแรกของการสู่ชีวิตมหาวิทยาลัย คงต้องถามตัวเองก่อนว่าเราอยากทำงานอาชีพอะไร และมีปัจจัยใดบ้างที่นอกจากใบปริญญาบัตร ที่จะทำให้เราสามารถก้าวเข้าสู่สายอาชีพนั้นๆ ได้ดังใจฝัน หลายคนหาคำตอบให้กับตัวเองได้ และมองเห็นเส้นทางสายอาชีพนั้นโดยไม่ลังเล

แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่เลือกนั้น ต้องสอดคล้องกับความชอบ และความถนัดของตัวเองด้วย เพราะหากเลือกเรียนผิด ต้องเสียเวลาย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังอาจสับสนกับเส้นทางที่ตัวเองต้องเลือก..


อาจารย์ธิดาพร ชนะชัย อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ให้คำแนะนำถึงปัญหาการเปลี่ยนคณะ หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นปัญหาหลักของนักศึกษาสมัยนี้ว่า.."บางคนมีเป้าหมายอาชีพในใจ แต่กลับต้องเรียนในสิ่งที่ผู้ปกครองแนะนำ

หรือบางคนก็เลือกเรียนตามเพื่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายคนพบว่าตนเองกำลังมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น เช่น คณะหรือสาขาที่เลือกเรียนจบแล้วหางานยาก ไม่ชอบในสิ่งที่กำลังเรียนอยู่ หรือเข้ากับอาจารย์หรือเพื่อนไม่ได้"
"จนกระทั่งทำให้นักศึกษาบางคนอาจทำเรื่องขอย้ายคณะ หรือย้ายสาขา แต่บางคนอาจย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยอื่นเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักศึกษาสามารถทำได้ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเช่นนั้นควรถามตัวเองถึงสาเหตุสำคัญ และวิเคราะห์ปัญหา รวมทั้งพิจารณาทางแก้ไขในรูปแบบอื่นก่อน"


นอกจากนี้ อาจารย์ธิดาพร ยังได้ฝากความห่วยใย รวมถึงข้อคิดให้นักศึกษาหลายคนที่ตั้งใจจะเป็น "เด็กซิ่ว" โดยการย้ายมหาวิทยาลัย หรือคณะด้วยว่า.. การจะย้ายไปที่ไหนนั้นควรใช้เหตุผลหลายๆ อย่างมาประกอบ ซึ่งได้จัดมาเป็นหัวข้อหลักๆ ดังนี้.. ค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็น ค่าหน่วยกิต ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยมีการกำหนดค่าหน่วยกิตต่างกัน แม้ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ต่างคณะกัน ค่าหน่วยกิตก็ยังต่างกัน ส่วนค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมเป็นค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุมไปถึงการบริการในรูปแบบต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยจัดไว้ให้นักศึกษา ซึ่งโดยรวมแล้วมหาวิทยาลัยเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐบาลอย่างมาก.. กองทุนเพื่อการศึกษาต่างๆ

นับว่ามีความจำเป็นมากสำหรับนักศึกษาในปัจจุบัน เพราะค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับมหาวิทยาลัยมีตัวเลขที่สูงพอสมควร โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน กองทุนเพื่อการศึกษาต่างๆ ที่รัฐบาลจัดไว้ หรือที่มหาวิทยาลัยตั้งขึ้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ครอบครัวมีรายได้ไม่มากนัก เช่น กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา [กยศ.] สำหรับนักศึกษาที่ครอบครัวมีรายได้ต่อปีรวมแล้วไม่เกิน 150,000 บาท เมื่อเรียนจบแล้วต้องใช้ทุนคืนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด นอกจากนี้บางมหาวิทยาลัยยังมีกองทุนเพื่อการศึกษาอื่นอีกหลายกองทุน..


คณะ และสาขาที่เปิดสอน
มหาวิทยาลัยต่างๆ มีคณะ และสาขาที่หลากหลาย ให้นักศึกษาได้เลือกเรียน แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีความโดดเด่นในคณะ หรือสาขาที่แตกต่างกัน ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุด นักศึกษาควรเลือกเรียนในคณะ หรือสาขาที่ตนเองถนัด รักในสิ่งที่จะเรียน และเป็นสาขาที่จบมาแล้วมีงานทำอย่างแน่นอน ไม่ควรเลือกเรียนตามกระแสความนิยม หรือตามเพื่อน เพราะสิ่งนี้จะไม่ทำให้นักศึกษาประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียนได้เลย..


อาจารย์
นับว่าเป็นบุคลากรที่สำคัญ เพราะจะเป็นผู้ที่ช่วยสร้างนักศึกษาให้ประสบความสำเร็จและมีอาชีพที่มั่นคงในอนาคต มาตรฐานของอาจารย์ในแต่ละมหาวิทยาลัยจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเชื่อถือให้กับนักศึกษาได้เป็นอย่างดี


งานรองรับในอนาคต
นักศึกษาควรจะเลือกศึกษาในมหาวิทยาลัย คณะ หรือสาขาที่สามารถหางานรองรับได้ง่ายหลังจากที่เรียนจบแล้ว เพราะเป้าหมายของการเรียนก็คือ การได้งานที่มั่นคง


สถานที่ตั้งและการเดินทาง
บริเวณที่ตั้งของมหาวิทยาลัย และการเดินทางเพื่อมาเรียนนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะนักศึกษาต้องใช้ชีวิตในการเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอย่างน้อยประมาณ 4 ปี ความสะดวกในเรื่องของการเดินทางจึงเป็นปัจจัยที่ควรคำนึงถึงอย่างมาก โดยพิจารณาว่ามหาวิทยาลัยแห่งนั้นตั้งอยู่ในตัวเมือง หรือรอบนอกเมือง มีรถประจำทางผ่านมากน้อยเพียงใด มีรถไฟฟ้าหรือไม่ ต้องใช้เวลาในการเดินทางเท่าใด..


การบริการที่มหาวิทยาลัยจัดไว้
ถือว่าเป็นมาตรฐานที่มหาวิทยาลัยควรจัดไว้สำหรับนักศึกษาประกอบด้วย หอพักที่สะอาด และปลอดภัยสำหรับนักศึกษาที่ไม่สะดวกในการเดินทาง หรือมีที่พักอยู่ต่างจังหวัด ห้องเรียนที่มีอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนอย่างพร้อมเพรียง ศูนย์คอมพิวเตอร์ และศูนย์บริการอินเทอร์เน็ต ศูนย์กีฬาในร่มและกลางแจ้ง รวมถึงศูนย์บริการฟิตเนส การประกันอุบัติเหตุและการรักษาพยาบาล, ห้องอาหารที่สะอาด ร้ายขายหนังสือที่หลากหลาย ธนาคารซึ่งเป็นสาขาย่อยภายในมหาวิทยาลัย ศูนย์บริการไปรษณีย์..


บรรยากาศในมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยที่ดีควรมีบรรยากาศที่ร่มรื่น และน่ารื่นรมย์ สามารถสร้างความรู้สึก หรือกระตุ้นให้มีความอยากเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี มีภาพลักษณ์ที่ดีน่าเชื่อถือต่อสายตาของบุคคลภายนอก และนักศึกษาควรมีความภูมิใจที่ได้เข้ามาศึกษา ณ สถานศึกษานี้..


ผลการเรียนของตนเอง
นักศึกษาต้องพิจารณาว่าผลการเรียนของตนเองเหมาะที่จะเรียนในคณะ หรือสาขาใด เพราะบางคณะจะมีการกำหนดเกรดขั้นต่ำสำหรับผู้ที่จะเข้าศึกษา และเมื่อเลือกเรียนในคณะนั้นแล้วต้องสามารถทำเกรด หรือคะแนนให้สูงขึ้นได้ไม่ยากอีกด้วย..


เพื่อน
สำหรับการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นกลุ่มเพื่อน หรือเพื่อนสนิทนับว่ามีความสำคัญ เพื่อช่วยเหลือกันในเรื่องของการเรียน และการทำกิจกรรม แต่ไม่ใช่การติดเพื่อนจนไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง.. แต่ต้องขอเน้นย้ำว่าเพื่อนในสังคมมหาวิทยาลัย จะอิสระ และใกล้ชิดสนิทสนมน้อยกว่าระดับมัธยม ดังนั้นเมื่อเข้าไปเรียนแรกๆ หลายๆ คนอาจจะต้องเจอกับอาการเหงา..
ปัญหาการเรียนคณะผิด การย้ายที่เรียน หรือการซิ่วของเด็กแต่ละปี ขอบอกว่ามันเยอะจนน่าตกใจมากๆ



วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ลาฟองแตน


อีสปเชื่อกันว่าอีสปมีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับพระพุทธเจ้า คือมีชีวิตอยู่เมื่อราว 77-17 ปีก่อน
พุทธศักราช หรือ620-560 ปีก่อนคริสตศักราช ตามตำนานกล่าวว่าเกิดที่เมืองฟรีเยียอันเป็นบริเวณที่ทวีปเอเชียต่อชนกับทวีปยุโรป
ซึ่งยุคนั้นเจริญรุ่งเรืองมากเป็นแหล่งรวมพ่อค้าวาณิช,ทูตานุทูต,นักท่องเที่ยวและการค้าทาส บางตำนานบอกว่าอีสปอาจจะมาจาก เมืองเทรซ ไพรเกีย เอธิโอเปีย ซามอส เอเธนส์ หรือเมืองซาร์ดิส ซึ่งไม่ยืนยันแน่นอน
ในชั้นเดิมอีสปมีฐานะเป็นทาสอยู่ที่เมืองซามอส (samos) ประเทศกรีซ เป็นทาสของอิดมอน ซึ่งได้มอบหน้าที่ให้เป็นครู สอนหนังสือให้ลูกๆของเขา บ้านของอิดมอนเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของหมู่คนสำคัญของกรีก อีสปจึงมีโอกาสพบเห็นและสังเกต อุปนิสัยคน อิดมอนมักจะนำอีสปไปด้วยเสมอเมื่อออกสังคมและอีสปก็มักได้เล่านิทานให้พวกเขาเหล่านั้นฟังซึ่งก็เป็นที่ชื่นชอบ
คามาริอุส ( Camarius) ผู้เขียนประวัติอีสปได้พรรณาว่าอีสปเป็นคนรูปอัปลักษณ์ผิดมนุษย์ ผิวดำมืด จมูกบี้ ปากแบะ ลิ้นคับปาก หลังงุ้ม เวลาพูดฟังไม่ไคร่ออกว่าเขาพูดกระไร แต่ผู้ฟังนิทานก็ชื่นชอบในเนื้อหา ข้อคิดและคติเตือนใจ เมื่อได้รับอิสรภาพ อีสปได้เข้าอาศัยในวังของกษัตริย์ครีซุส ทำให้ได้พบกับนักปราชญ์และรัฐบุรุษของเอเธนส์มากมาย อีสปเคยได้อาศัยอยู่ในสำนักของนักปราชญ์ โซมอล ญาติของผู้ครองนครเอเธนส์ ซึ่งเมื่อครั้งที่ผู้คนจะขับ ปีซัสเครตัส ออกจากตำแหน่งผู้ปก ครองนครเอเธนส์ อีสปก็ได้เล่านิทานเรื่อง “กบเลือกนาย” ขึ้นที่นี่ ทำให้ชาวเมืองล้มเลิกความตั้งใจ อีสปได้แสดงความคิดเห็น ด้านการปกครองและเล่านิทานอุปมาอุปมัยไว้หลายเรื่องที่สำนักปราชญ์แห่งนี้
ตัวละครในนิทานของอีสปส่วนใหญ่เป็นสัตว์ เช่นราชสีห์อันหมายถึงหรือเป็นตัวแทนของผู้มีอำนาจผู้ปกครอง หนูหมายถึง ผู้ต่ำต้อย ลาหมายถึงผู้ด้อยปัญญา และสุนัขจิ้งจอกหมายถึงคนเจ้าเล่ห์

นิทานของอีสป เป็นเรื่องเล่าปากเปล่า ไม้ได้มีการจดบันทึกเป็นหลักฐาน จนศตวรรษต่อๆมาจึงได้มีผู้บันทึกเอาไว้ จะเห็นได้จากหลักฐานของแผ่นปาปิรัสโบราณ ฟีดรัส ทาสชาวมาซีโดเนียนในยุคจักรพรรดิออกุสตุสแห่งโรมัน เป็นผู้หนึ่งที่ได้รวบรวม หลักฐานนิทานของอีสปไว้เป็นภาษาลาติน บางตำนานบอกว่า ชาวกรีกผู้หนึ่งชื่อ เดมิตริอุส ได้รวบรวมนิทานของอีสปเขียน เป็นหนังสือไว้เมื่อราว 300 ปีก่อนคริสตศักราช ต่อมาก็ได้มีผู้เขียนขึ้นใหม่อีกหลายคน และเมื่อ ค.ศ.1400 พระชื่อ มาซิมุส พลานูด ได้แปลนิทานของอีสปจากภาษาลาตินมาเป็นภาษาอังกฤษ นับแต่นั้นมาชาวยุโรปได้แปลนิทานของอีสปเป็นภาษาของตนจนแพร่หลาย ไปทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่จะดัดแปลงเนื้อหาให้เข้ากับสภาพบ้านเมืองของตน แต่คติและข้อคิดอันเป็นหัวใจของเรื่องยังคงได้รับการรักษา
เอาไว้
ลาฟองแตน นักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลกชาวฝรั่งเศส เป็นคนหนึ่งที่ทำให้นิทานอีสปแพร่หลายสูงสุดนิทาน ของเขาจะเขียนเป็นคำกลอนซึ่งเด็กๆฝรั่งเศสจำได้ขึ้นใจ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆมากมาย นิทานของเขามีทั้งแต่งขึ้นเองและ ดัดแปลงจากของอีสป จนยากจะแยกแยะ นิทานอีสปมีนับพันเรื่อง ซึ่งยากจะระบุว่าเรื่องใดใช่หรือไม่ใช่นิทานของอีสป ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าอีสปมีอายุยืนยาวเท่าไรและตายเพราะเหตุใด นักประวัติศาสตร์บางท่านปฏิเสธว่าอีสปไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง แต่มีพระองค์หนึ่งที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ชื่อว่า แมกซิมุส พลานุเดซ เขียนบันทึกไว้ในศตวรรษที่ 14 ว่าอีสปมีตัวตนจริงโดยพรรณนา รูปร่างลักษณะของอีสปตรงกับที่ คามิอุส บันทึกไว้และตรงกับรูปปั้นหินอ่อนอีสปที่ วิลลา อัลบานี ในกรุงโรมทุกประการ

ในเมืองไทย พระจรัส ชวนะพันธุ์ (สาตร์) ได้กล่าวไว้ใน คำชี้แจงของผู้แต่ง (ลงวันที่ 22 ธันวาคม ร.ศ.130) จากหนังสือ นิทานอีสปของกระทรวงศึกษาธิการว่า “หนังสือนิทานอีสปเล่มนี้พระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นผู้ทรงแนะนำให้ ข้าพเจ้าแต่งขึ้นให้ใช้ภาษาง่ายๆ และประโยคสั้นๆ สำหรับเด็กในชั้นมูลศึกษาจะได้ใช้เป็นแบบสอนอ่านเมื่อเรียนแบบเรียนมูลศึกษาจบแล้ว”
ในปัจจุบันได้มีผู้แปลและเรียบเรียงนิทานอีสปเป็นภาษาไทยมากมายหลายเล่ม ทั้งที่รวบรวมไว้เล่มละหลายๆเรื่อง และแยกเป็นเล่มละ เรื่องวาดภาพประกอบ หรือจัดพิมพ์จำหน่ายในแนวนิทานภาพสำหรับเด็กซึ่งได้รับความสนใจจากผู้อ่าน สืบเนื่องเสมอมา