วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันรัฐธรรมมนูญ


อ่า..เพิ่งจะผ่านวันพ่อมาไม่กี่วันก็ใกล้จะถึงวันรัฐธรรมนูญแล้วนะ

งั้น..เรามาทำความรู้จักกับ วันรัฐธรรมนูญกันเถอะ!

ความหมาย
รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ
วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
ความเป็นมา
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ
๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ๔. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร
จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ
วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ
๑. พระมหากษัตริย์
๒. สภาผู้แทนราษฎร
๓. คณะกรรมการราษฎร
๔. ศาล
ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้วจึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม
กระทั่งถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ้
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ


วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ประมวลภาพบรรยากาศพระเมรุ

ประชาชนหลากอาชีพ ทั้งเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ คนเฒ่า คนแก่ ต่างมาด้วยพลังแห่งดวงใจที่มีต่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ฯ ผู้เปรียบดั่งแสงที่ส่องความดีงามในใจปวงชนชาวไทยทุกคน























วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ร่วมไว้อาลัยแด่พระพี่นางฯ

พระราชประวัติ พระพี่นางฯ


ข่าว ข่าวในพระราชสำนัก รายงาน หลังการเสด็จสู่สวรรคาลัยของ พระพี่นาง พระพี่นางเธอ สมเด็จพระพี่นาง สมเด็จพระพี่นางเธอ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง นราธิวาสราชนครินทร์ เหล่าพสกนิกรชาวไทยสามารถอ่าน ข่าว พระพี่นาง ประวัติพระพี่นาง พระพี่นางเธอ สมเด็จพระพี่นาง พระราชประวัติพระพี่นาง พระราชประวัติพระพี่นางเธอ ได้ที่นี่ค่ะ


ทรงพระเยาว์

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นพระธิดาพระองค์แรกใน สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ณ สถานพยาบาล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระนามในพระสูติบัตรเมื่อแรกประสูติ คือ เมย์ ตามเดือนที่ประสูติ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงมีพระอนุชา 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระภัทรมหาราช พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า หม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนา ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา และ ในพ.ศ. 2478 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงเฉลิมพระเกียรติเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ครั้นเมื่อทรงเจริญพระชนมายุครบ 6 รอบ ใน พ.ศ. 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายในตามธรรมเนียมราชประเพณีเป็นพระองค์แรกในรัชกาลทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หลังจากที่ประสูติได้ไม่นานนัก สมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงย้ายจากกรุงลอนดอนไปประทับอยู่ที่เมืองเซาท์บอน ทางฝั่งตะวันออก และหลังจากนั้นไปประทับที่เมืองบอสคัม ทางชายฝั่งทะเลด้านใต้ของประเทศอังกฤษ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ จนถึงเดือน ต.ค. พ.ศ. 2466 ได้ตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จกลับประเทศไทย เมื่อเสด็จถึงประเทศไทย สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้พระราชทานพระตำหนักใหญ่ของวังสระปทุมเป็นที่ประทับ พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตดุล ซึ่งเป็นพระสหายสนิทของสมเด็จพระบรมราชชนนี ระหว่างที่ทรงศึกษาวิชาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นผู้ถวายการอภิบาล ต่อมาพ.ศ. 2468 สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ตามเสด็จ สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนีไปประเทศเยอรมนีและประเทศฝรั่งเศส

การทรงงาน เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จนิวัติประเทศไทยใน พ.ศ. 2493 สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงทราบดีว่าพระธิดาโปรดการเป็นครูมาแต่ทรงพระเยาว์ ได้รับสั่งแนะนำให้ทรงงานเป็นอาจารย์ จึงทรงรับงานเป็นอาจารย์พิเศษสอนภาฝรั่งเศสที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงสอนวิชาสนทนาภาษาฝรั่งเศส วิชาอารยธรรมฝรั่งเศส และวิชาวรรณคดีฝรั่งเศส นิสิตที่ได้มีโอกาสเป็นศิษย์ด้วยล้วนปีติยินดีในพระกรุณาธิคุณยิ่งนัก หลายคนรำลึกได้ว่าในวิชาวรรณคดีฝรั่งเศสทรงสอนผลงานของ Victor Hugo นักประพันธ์เอกของโลก สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงสอนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนถึง พ.ศ. 2501 ใน พ.ศ.2512 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขอรับพระราชทานพระกรุณาให้ทรงเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทรงรับงานสอนและงานบริหารโดยทรงเป็นหัวหน้าสาขาสอนวิชาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศส และผู้อำนวยการภาษาต่างประเทศ อันประกอบด้วยภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น และรัสเซีย สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงสอนวิชาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสแก่นักศึกษาชั้นปีต่างๆ และทรงดูแลการสอนของอาจารย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

นอกจากนี้ได้ทรงจัดทำหลักสูตรระดับปริญญาตรีภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสจนสำเร็จในปี พ.ศ. 2516 เป็นหลักสูตรที่ผสมผสานความรู้ด้านภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม ในระหว่างที่ทรงปฏิบัติงานสอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้กราบทูลเชิญเป็นองค์บรรยายพิเศษตั้งแต่ปี พ.ศ.2515 ในปี พ.ศ. 2519 เมื่อพระราชกิจด้านอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จึงทรงลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ก็ยังเสด็จเป็นองค์บรรยายพิเศษต่อไปอีก นอกจากนั้น ยังทรงรับเป็นองค์บรรยายพิเศษวิชาภาษาฝรั่งเศสในคณะวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อีกด้วย ต่อมาเมื่อทรงทราบปัญหาการขาดแคลนอาจารย์ของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในจังหวัดห่างไกลและมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย ก็ได้พระราชทานพระเมตตา เสด็จไปทรงสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสโดยประทับอยู่ในวิทยาเขตปัตตานี ดังเช่นอาจารย์อื่นๆ ระหว่างที่ทรงงานสอน ได้ทรงร่วมกิจกรรมทางวิชาการหลายด้าน เช่น ทรงเป็นกรรมการสอบชิงทุน ก.พ. ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทรงเป็นประธานออกข้อสอบภาษาฝรั่งเศสในการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ หลังจากที่ปฏิบัติงานด้านการสอนมาจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ทรงได้รับการโปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่ง ศาสตราจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ด้วยพระปรีชาญาณจากประสบการณ์ที่ทรงงานสอนภาษาฝรั่งเศสมาเป็นระยะเวลานาน จึงทรงตระหนักถึงปัญหาความต่อเนื่องในการเรียนภาษาฝรั่งเศสระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ทรงริเริ่มก่อตั้งสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2520 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การปรับปรุงวิธีการสอนทั้งระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

L Amourเสน่ห์แห่งกาลเวลาจากปิแอร์ การ์แดง


บริษัท สหกรุงทอง เทรดดิ้ง จำกัด ผู้นำเข้านาฬิกาคุณภาพจากฝรั่งเศส เปิดตัวนาฬิกาอีกหนึ่งดีไซน์แห่งความงดงามและคลาสสิก ในคอลเลคชั่นนาฬิกาเพื่อสตรีผู้มีเสน่ห์ “ล-อะมูร” (L’ Amour) จาก “ปิแอร์ การ์แดง”
นาฬิการุ่นนี้สวยสมเป็นผู้นำแห่งวงการแฟชั่นในฝรั่งเศส ด้วยหน้าปัดนาฬิการูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีตัวเลขบอกชั่วโมงเป็นเลขโรมันคละขนาดเรียงกันเป็นโลโก้ตัวอักษร “P” ของ Pierre Cardin บนหน้าปัดเหลือบสีรุ้ง ฟังก์ชั่นสองเข็มนาฬิกาบอกชั่วโมงและนาที ที่รอบขอบหน้าปัดสี่เหลี่ยมมีทั้งที่ทำจากสตีลและทอง 18 กะรัต หัวร้อยสายประดับด้วยคริสตัลแวววาว 94 เม็ด สายนาฬิกาทำจากหนังอย่างดีมีให้เลือกสามสี คือ สีชมพู สีขาวนวล และสีเทา ถูกใจนักสะสมนาฬิกาแฟชั่น เที่ยงตรงและบางเบาด้วยกลไกระบบควอทซ์ กันรอยขีดข่วนด้วยกระจกหน้าปัดคริสตัลแซฟไฟร์ และกันน้ำลึกถึง 30 เมตร
เป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่เคาน์เตอร์นาฬิกาชั้นนำของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน และเดอะ มอลล์

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Halloween



ประวัติความเป็นมา วัน Halloween

ประเพณีนี้ได้รับการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน นับว่าเป็นวันสำคัญอันหนึ่งของคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก ซึ่งพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล แห่งราชบัณฑิตสถานได้จัดทำคำอธิบายถึงประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของ "ฮัลโลวีน" ไว้ดังนี้ ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eve ซึ่งแปลว่าวันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำ Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่าคำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำ Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่าๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ) คำ Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ คำ All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลายในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Chrismas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาสชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไปหลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day)



ทำไม วันฮาโลวีน ถึงเป็นวันที่ 31 ตุลาตม

ประวัติความเป็นมาอีกฉบับหนึ่ง ให้คำอธิบายถึงที่มาที่ไปของวันนี้ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เป็นความเชื่อของชาวเซ็ลต์ (Celt) เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในประเทศอังกฤษ โดยเชื่อว่าทุกวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี จะเป็นวันที่ประตูนรกถูกเปิดขึ้นมา บรรจบกับมิติโลกมนุษย์กันอย่างพอดี ทำให้เหล่าวิญญาณพยายามหาทางเข้าสิงมนุษย์ ซึ่งวิธีการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณเข้าสิงคือ "การปลอมตัว" ทำตัวเป็นผีเสียเอง ด้วยการตกแต่งต่างๆ นานาให้ดูน่ากลัวที่สุด เทียนและระบบทำความร้อนก็จะถูกดับ เพื่อให้ร่างกายเกิดความหนาวเย็นเปรียบเสมือนร่างกายที่ไร้ซึ่งชีวิต ส่วนบ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้ดูน่าสะพรึงกลัว และผู้คนต่างส่งเสียงเพื่อทำการขับไล่เหล่าวิญญาณชั่วร้ายอีกทีนึง ทั้งนี้ หลายคนต่างสงสัยว่าทำไมสัญลักษณ์ของวันฮัลโลวีน ถึงเป็นหัวฟักทองแกะสลักสีส้ม เจ้าฟักทองนั้นมีชื่อว่า Jack O Lanterns เป็นตำนานของชาวไอริช ที่เป็นนักมายากลขี้เมาและได้ทำข้อตกลงกับปีศาจตนหนึ่ง ในกรณีที่เขาเสียชีวิตแล้ว เขาขอเพียงแค่ไม่ไปทั้งสวรรค์หรือนรก เมื่อถึงคราวชีพจรดับปีศาจตนนั้นจึงมอบถ่านอันคุกรุ่นให้แก่ Jack เขาจึงนำไปใส่ไว้ในหัวผักกาดเพื่อคอยปัดเป่าความหนาวเย็น ต่อมาชาวไอรีชจึงแกะหัวผักกาด และนำถ่านมาใส่เช่นกันเพื่อเป็นสิริมงคลในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตลอดทั้งปี เมื่อกาลเวลาผ่านไปประเพณีดังกล่าวเริ่มแพร่หลายไปสู่ประเทศอเมริกา แต่หัวผักกาดเป็นสิ่งที่หายาก จึงนำลูกฟักทองมาแกะสลักแทน และนี่คือจุดเริ่มต้นของสัญลักษณ์สีส้ม และสีดำ ทั้งนี้ สีดำบ่งบอกถึงความมืดมิดช่วงเวลากลางคืน ส่วนสีส้มคือแสงสว่างที่ลุกโชติ เพื่อขับไล่ปีศาจนั่นเอง
รู้ประวัติฮาโลวีนกันแล้ว..เป็นไงค่ะ..พี่ไทยอย่างเราๆก็รับหมดเนอะ..ทุกเทศกาล 555



วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

History



วันนี้..มาต่อตามสัญญา..มาแนะนำประวัติของไวน์ค่ะ^^


16th century wine press

Main article: History of wine
Archaeological evidence suggests that the earliest production of wine, made by fermenting grapes, took place in sites in Israel, Georgia and Iran, from as early as 6000 BC.These locations are all within the natural area of the European grapevine Vitis vinifera.
A 2003 report by archaeologists indicates a possibility that grapes were used together with rice to produce mixed fermented beverages in China as early as 7000 BC. Pottery jars from the Neolithic site of Jiahu, Henan were found to contain traces of tartaric acid and other organic compounds commonly found in wine. However, other fruits indigenous to the region, such as hawthorn, could not be ruled out. If these beverages, which seem to be the precursors of rice wine, included grapes rather than other fruits, these grapes were of any of the several dozen indigenous wild species of grape in China, rather than from Vitis vinifera, which were introduced into China some 6000 years later.

Wine boy at a symposium
The oldest known evidence of wine production in Europe is dated to 4500 BC and comes from archaeological sites in Greece. The same sites also contain the world’s earliest evidence of crushed grapes. In Ancient Egypt, six of 36 wine amphoras were found in the tomb of King Tutankhamun bearing the name "Kha'y", a royal chief vintner. Five of these amphoras were designated as from the King's personal estate with the sixth listed as from the estate of the royal house of Aten. Traces of wine have also been found in central Asian Xinjiang, dating from the second and first millennia BC.
In medieval Europe, the Roman Catholic Church was a staunch supporter of wine since it was necessary for the celebration of Mass. In places such as Germany, beer was banned and considered pagan and barbaric, while wine consumption was viewed as civilized and a sign of conversion to Christianity. Monks in France made wine for years, storing it underground in caves to age.
In the Islamic world, wine was forbidden during the Islamic Golden Age. After Geber and other Muslim chemists pioneered the distillation of wine, however, it was legalized for cosmetic and medical uses. In fact, the 10th-century Persian philosopher and scientist Al Biruni described recipes where herbs, minerals and even gemstones are mixed with wine for medicinal purposes. Wine became so revered and its effect so feared that elaborate theories were developed about which gemstones would best counteract its negative side effects.

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Wine


Wine is an alcoholic beverage made from the fermentation of grape juice. The natural chemical balance of grapes is such that they can ferment without the addition of sugars, acids, enzymes or other nutrients. Wine is produced by fermenting crushed grapes using various types of yeast which consume the sugars found in the grapes and convert them into alcohol. Various varieties of grapes and strains of yeasts are used depending on the types of wine produced.
Although other fruits such as apples and berries can also be fermented, the resultant "wines" are normally named after the fruit from which they are produced (for example, apple wine or elderberry wine) and are generically known as fruit wine or country wine (not to be confused with the French term vin du pays). Others, such as barley wine and rice wine (e.g. sake), are made from starch-based materials and resemble beer and spirit more than wine, while ginger wine is fortified with brandy. In these cases, the use of the term "wine" is a reference to the higher alcohol content, rather than production process. The commercial use of the English word "wine" (and its equivalent in other languages) is protected by law in many jurisdictions.
Wine has a rich history dating back to around 6000 BC and is thought to have originated in areas now within the borders of Israel, Georgia and Iran. Wine probably appeared in Europe at about 4500 BC in what is now Bulgaria and Greece, and was very common in ancient Greece, Thrace and Rome. Wine has also played an important role in religion throughout history. The Greek god Dionysos and the Roman equivalent Bacchus represented wine, and the drink is also used in Christian and Jewish ceremonies such as the Eucharist and Kiddush.
The word "wine" derives from the Proto-Germanic *winam, an early borrowing from the Latin vinum, "wine" or "(grape) vine", itself derived from the Proto-Indo-European stem *win-o- (cf. Ancient Greek οῖνος - oînos, Aeolic Greek ϝοίνος - woinos).Similar words for wine or grapes are found in the Semitic languages (cf. Arabic ﻭﻳﻦ wayn) and in Georgian (ğvino); some consider the term to be a wanderwort, or "wandering word".
วันนี้แวะมาแนะนำความเป็นมาของไวน์น้า
ยังมีต่อๆๆ..ช่วงนี้อาจอัพบล็อคบ่อยนิดนึง..เพราะว่างจัด
55555
ยังไงก็..พรุ่งนี้ฟังผลสอบแล้ว..ก็ขอให้เพื่อนๆโชคดีกัลด้วยจ้ะ
แล้วก็ขออานิสงฆ์จากเพื่อนๆแบ่งมามั่งก็ได้ 5555

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การผลิตกลิ่นของน้ำหอม


ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า กลิ่นของน้ำหอมที่ได้จากต้นไม้นั้น จะมาจากดอกไม้แต่น่าประหลาดใจมากส่วนอื่นๆของต้นไม้นั้นเราก็นำมาใช้ทำน้ำหอมได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ใบไม้ เนื้อไม้ ผล เมล็ด เปลือก และยางไม้ นอกจากส่วนต่างๆ ที่กล่าวมานี้ เรามาทำความรู้จักกับ ชนิดของต้นไม้ ที่คนปรุงน้ำหอม นำมาใช้ในการทำน้ำหอม ที่นิยมนำมาใช้มาก ในอันดับต้น ๆ ดังนี้


Balsam : เป็นยางไม้หอมชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง Balsam ที่นิยมในแวดวงการผลิตเครื่องหอมในปัจจุบัน เป็นอันดับต้นๆ ก็คือ Balsam จากประเทศเปรู

Bergamot : ก็คือมะกรูดนั่นเอง ส่วนของมะกรูดที่ใช้สกัดทำน้ำหอมก็คือ บริเวณเปลือกของลูกมะกรูด กลิ่นหอมที่สกัดจากผิวของลูกมะกรูดส่วนใหญ่จะนำไปใช้ทำน้ำหอมสำหรับผู้หญิง

Frankincense : เป็นยางไม้หอมจากต้นไม้จำพวก Boswellia เจ้าต้นไม้ชนิดนี้เป็นต้นไม้ขนาดเล็กที่เจริญเติบโตทางตอนใต้ของ Arabia และ Somalia ซึ่งยางไม้ชนิดนี้เป็นส่วนสำคัญมากในการทำเครื่องหอมสมัยอาณาจักรโรมันโบราณ ในยุคปัจจุบันเราใช้ Frankincense เป็นส่วนผสมของน้ำหอมสมัยใหม่ ถึง 13 %

Galbanum : เป็นยางไม้ของต้น ยี่หร่า จากประเทศ lran เจ้า Galbanum จะมีกลิ่นออกไปทาง Spicy

Jasmine : ต้นมะลิใช้เป็นส่วนผสมหลักของน้ำหอมในปัจจุบัน มากกว่า 80% เป็นรองก็แค่ดอกกุหลาบ พันธุ์ของมะลิที่นิยมใช้ทำน้ำหอมก็คือ มะลิ จากประเทศ สเปน หรือที่เรียกกันว่า Royal Jasmine ซึ่งใช้มากที่สุดในยุโรป มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แล้ว Royal Jasmine นี้จะเป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมที่แพงที่สุดเพราะว่า จากมะลิ 500 ปอนด์ จะกลั่นออกมาใช้ทำน้ำหอมได้แค่เพียง 0.1% เท่านั้น

Labdanum : เป็นหยดเล็ก ๆ ของยางไม้จากใบของต้น Cistus ที่ขึ้นอยู่ในตะวันออกกลาง เราใช้ยางไม้ชนิดนี้ ถึง 33% ในการทำน้ำหอมในปัจจุบัน

Lavender : เป็นส่วนผสมหลักในกาทำน้ำหอมมานานแล้ว นับตั้งแต่สมัยกรีก - โรมันโบราณ ครั้งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส เคยปลูกต้น Lavender นี้ถึง 5000ตันต่อปีมาแล้ว

Lamon : ผิวของผลมะนาวเป็นส่วนผสมที่จำเป็น ในการทำน้ำหอม ที่ต้องการให้ได้กลิ่นหอม ที่สดชื่น สดใส มีชีวิตชีวา

Lily of the Valley :ในช่วงเริ่มแรกของการทำน้ำหอมนั้นเราได้กลิ่นหอมของดอก Lily โดยการใส่ดอก Lilyลงไปในน้ำมัน แต่ในปัจจุบันเราใช้กรรมวิธีที่ทันสมัยโดยสกัดเอากลิ่นหอมของ Lily ออกมาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เราใช้ Lily เป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมประมาณ 14% ในปัจจุบัน

Myrrh : เป็นยางไม้จากต้น Myrrh ซึ้งพบได้ใน Arabia,Somalia และ Ethiopia ในสมัยโบราณเขาใช้ยางไม้ชนิดนี้ทำเป็นยาสมุนไพร และใช้ทำน้ำยาดองศพ แต่ในปัจจุบันนักปรุงน้ำหอมบอกว่าคุณสมบัติที่เด่นของ Myrrh นี้คือ มันเป็นตัวช่วยให้กลิ่นของน้ำหอมติดร่างกายทนทานยิ่งขึ้น

Neroli : ได้จากการกลั่นจากดอกของต้นส้ม ชื่อ Neroli นี้ได้มาจากในช่วง หลังทศวรรษที่ 16 โดยภรรยาของเจ่าชายอิตาลีคนหนึ่งใช่ Neroli ผสมในน้ำที่เธออาบ ทำให้กลิ่นหอมนี้เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรป แต่จริงๆแล้ว Neroli เข้ามาในยุโปนานแล้ว ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 โดยชาวอาหรับเป็นผู้นำเข้ามา ในปัจจุบันใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมถึง 12%

Oak Moss : เป็น Lichen ที่อยู่ตาม ต้นโอ๊ก ต้นสน และต้นไม้อื่นๆ ในแถบเทือกเขาทางเหนือของแอฟริกา และ ยุโรป เราใช้ Oak Moss เป็นตัวยึดกลิ่นน้ำหอมไว้ไม่ให้ระเหยไปเร็ว

Rose : เป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมที่สำคัญมาก ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่ Classic ในการทำน้ำหอมเลยก็ว่าได้ กวีชาว Greek ที่ชื่อ Sappho เรียกดอกกุหลาบไว้ว่า "Queen of the Flowers" แต่ก่อนกุหลาบจะเจริญเติบโตได้ดีในฝรั่งเศส แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาให้ปลูกในส่วนอื่นๆได้ เช่นในจังหวัด Kazanlak ของ Bolgaria และก็มี Egypt , Morocco และที่อื่นๆอีกมากมาย กลิ่นหอมของกุหลาบที่แตกต่างทั้ง 17 กลิ่น เรานำมาใช้ทำน้ำหอมมากถึง 75 %

Sandalwood : เป็นไม้หอมประเภทเดียวกับไม้จันทร์ ไม้หอมคุณภาพดีนี้ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศอินเดีย และ อินโดนีเซีย

Tree Moss : พืชจำพวกมอสที่เราใช้ทำน้ำหอมนี้ส่วนใหญ่จะเกาะอยู่ตามต้นโอ๊ก และ ต้นสน มอสนี้ส่วนใหญ่จะทำเป็นน้ำหอมสำหรับผู้ชาย

Viole : เราได้กลิ่นหอมจากต้น Viole นี้จากดอก ใบ ของมัน ที่ใช้ในการทำน้ำหอม แต่ในปัจจุบันต้น Viole มีราคาแพงมาก เขาจึงใช้การสังเคราะห์กลิ่นจาก Violet แทน



วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง ตัวอาคารเดิมทีเคยเป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกันชื่อดัง


แต่เดิมเป็นพระราชวังที่ใหญ่โตมากที่สุดของโลก สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าฟิลิปป์ ออกุสต์ ในปี ค.ศ 1204 แต่มาเสร็จในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ปี ค.ศ 1856 รวมใช้เวลาก่อสร้างถึง 7 รัชกาล เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่ ค.ศ 1791 ปัจจุบันพระราชวังเก่าแก่แห่งนี้ มีสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญและใหญ่โตที่สุดในปารีส ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่เก็บรักษาวัตถุโบราณต่างๆที่มีค่าและมีชื่อเสียงของโลก เช่น ภาพเขียน La Jaconde หรือภาพโมนาลิซ่า อันเป็นภาพวาดของ Léonard de Vinci จิตกรและสถาปนิกชาวอิตาเลียน
พิพิธภัณฑ์นี้เป็นตึก 3 ชั้น ประกอบด้วยห้องถึง 225 ห้อง มีลวดลายสวยงาม
เป็นอย่างยิ่ง ทางตะวันตกของพิพิธภัณฑ์ติดกับแม่น้ำแซน ภายในมีวัตถุโบราณซึ่งเป็นศิลปะอันล้ำค่าจากชาติต่างๆที่ฝรั่งเศสเคยมีอิทธิพลปกครองมาในอดีต ส่วนใหญ่ได้มาจากตะวันออกกลางและอาณานิคมจากประเทศในเอเซีย เช่น รูป La Victoire de Samothrace, Vénus de Milo
พิพิธภัณฑ์นี้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันอังคารและวันหยุดของทางราชการ วันพุธและวันอาทิตย์เปิดให้เข้าชมฟรี

ในปี 1981 Monsieur Ioeh Ming Pei สถาปนิกชาวอเมริกัน ได้เริ่มโครงการสร้างทางเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นรูปปิรามิดแผ่นแก้ว ครอบคลุมเนื้อที่บนลาน Napoléon
เพื่อเป็นจุดรวมของทางเข้าพิพิธภัณฑ์อันเป็นศูนย์กลางที่ให้ข้อมูลในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ใช้เป็นสถานที่นัดพบ ประชาสัมพันธ์ จุดเริ่มต้นของการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ โดยมีที่สำหรับนั่งพักผ่อน แผนกรับฝากของ ที่ทำการไปรษณีย์ ที่รับแลกเปลี่ยนเงิน สำนักงานท่องเที่ยว แผนกต้อนรับ ห้องประชุม เอนกประสงค์ขนาด 430 ที่นั่ง ห้องสมุด ร้านค้า ภัตตาคาร รวมถึงแผนกบริหารงานบุคคล ห้องเก็บของ ห้องสำหรับงานบูรณะปฏิสังขรณ์ ห้องปฎิบัติการทดลองด้วย การก่อสร้างทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี 1995 รวมเวลา 14 ปี


เป็นไงเพื่อนๆปิดเทอมกันแล้ว..เ
บื่อๆเซงๆ..ก็ลองไปเที่ยวดูนะ
..ถ้าคิดกันไม่ออก..
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เราขอแนะนำ
๕๕๕๕

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

อาหารการกิน(Les Repas)




คนฝรั่งเศสกินเนื้อมากที่สุดในทวีปยุโรป โดยกินเนื้อถึงปีละ 78 กิโลกรัม นอกจากนี้คนฝรั่งเศส ยังบริโภคเนยแข็งปีละ 12 กิโลกรัม เนยเหลว 7.5 กิโลกรัม เหล้าองุ่ น100ลิตร เบียร์20ลิตร อเปริติฟ10ลิตร20% ของแคลอรี่ได้จากขนมปังเป็นอาหารหลัก การเป็นประเทศกินดีอยู่ดีประเทศจึงมีอาหารพิเศษเฉพาะถิ่นมากมาย ทั้งในปารีสและในเมืองต่างๆอาหารพิเศษเฉพาะถิ่นของเมืองต่างๆที่ควรรู้จัก คือ



Toulouse
le cassoulet toulousain
Nice
la salade nicoise

.......................................................................................................



Auvergne
la potee auvergnate


.............................................................................................................


Bourgogne
le boeuf bourguignon


.......................................................................................................................



Vordeaux
l'entrecote bordelais

Perigord
les conflits du Perigord

Bresse
les poulets de Bresse

Bretagne
les crepes

นี่แค่เป็นน้ำจิ้มเท่านั้นน้า...เดี๋ยวจะมีมาอีกจ๊ะ^^

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

โรบอตบอย



เรื่องย่อศจ.ชิโม่นักประดิษฐ์ผู้เก่งกาจได้ทำการสร้างสิ่งประดิษฐ์ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ตัวใหม่สำเร็จ แต่ด้วยเกรงว่ามันจะเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติถ้าวายร้ายดร.คามิคาเซ่ได้มันไป เมื่อเด็กชายทอมมี่ เทิร์นบูล แฟนพันธ์แท้ของเขาส่งจดหมายมาหา เขาจึงตัดสินใจส่งหุ่นตัวใหม่ไปให้กับทอมมี่ ให้หุ่นตัวนั้นยู่ท่ามกลางเด็กทั่วๆไปและให้ทอมมี่สอนหุ่นตัวนั้นให้เรียนรู้เป็นเด็กผู้ชาย เป็นโรบอตบอย(หุ่นยนต์เด็กชาย)ที่แท้จริง

ตัวละครหลัก

โรบอตบอย โรบอตบอยเป็นหุ่ยนต์ของศจ.โมชิโม่และถูกส่งไปให้ทอมมี่ดูแลเพื่อที่จะเป็นเด็กผู้ชายที่แท้จริง โดยปกติโรบอตบอยเป็นห่นที่น่ารักและสุดแสบ แต่เมื่อใดก็ตามที่ทอมมี่ตกอยู่ในอันตรายหรือทอมมี่สั่งการผ่านนาฬิกาเขาจะเปลี่ยนโหมดเป็นซูเปอร์แอคทิเวชั่นและจะกลายเป็นเครื่องจักรทำลายล้าง ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ดร.คามิคาเซ่ต้องการตัวโรบอตบอย โรบอตบอยเป็นหุ่นที่อ่อนต่อโลกและเขาต้องเรียนรู้เรื่องต่างๆจากทอมมี่มากมาย โรบอตบอยทำงานได้ด้วยถ่านไฟฉายสองก้อนและต้องชาร์จพลังงานเป็นบางครั้งบางคราว นอกเหนือจากตัวละครหลักและวายร้ายแล้ว ไม่มีใครรู้จักโรบอตบอยเลย

ทอมมี่ เทิร์นบูล เด็กชายหัวเหลี่ยมอายุ 10 ปี เขาเป็นแฟนพันธ์แท้ของศจ.โมชิโม่และได้รับโรบอตบอยให้มาอยู่กับเขา ซึ่งต้องคอยดูแลไม่ให้ดร.คามิคาเซ่จับตัวโรบอตบอยและพยายามสอนเรื่องต่างๆให้กับโรบอตบอย ทอมมี่เป็นเด็กฉลาดและชอบหุ่นยนต์และซูเปอร์ฮีโร่ "ยอดมนุษย์กำปั้น" เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปออกัสตัส "กัส" "จี-แมน" บาคแมน เทอร์เนอร์ กัสเป็นเด็กอ้วนอายุ 10 ปี นิสัยเซ่อซ่า ชอบกินขนมหวาน ขี้โอ่และหลงตัวเอง เขาเป็นเพื่อนกับทอมมี่และมักไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ ครอบครัวของกัสเป็นครอบครัวที่ยึดถือธรรมเนียมแบบเก่า (เช่น ไม่ใช่ไฟฟ้า) กัสมักเป็นตัวโจ้กของเรื่องและหาเรื่องยุ่งใส่ตัวเสมอๆ

โลล่า มโบล่า เด็กหญิงอายุ 10 ปี เธอเป็นเพื่อนกับทอมมี่และแอบชอบเขา พ่อของโลล่าเป็นทูตจากแอฟริกา เธอมักทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ทอมมี่สนใจในตัวเธอ

ศาสตราจารย์โมชิโม่ ศจ.โมชิโม่นักประดิษฐ์หุ่นยนต์ เขาเป็นผู้ประดิษฐ์โรบอตบอยและได้มอบโรบอตบอยให้กับทอมมี่ เขาอาศัยอยู่ในห้องทดลองลับแถบขั้วโลกและมีคู่หมั้นชื่อมิวมิว

ดร.คามิคาเซ่ นักวิทยาศาสตร์ตัวแสบ เขาต้องการที่จะครอบครองโรบอตบอยทุกวิถีทางเพื่อครองโลกนี้ ในแต่ละตอนดร.คามิคาเซ่จะต้องสร้างหุ่นวายร้ายใหม่ๆเข้ามาจัดการโรบอตบอยเสมอๆ

คอนสแตนติน เป็นผู้ช่วยผู้ซื่อสัตย์ของดร.คามิคาเซ่ มักยอมให้ดร.คามิคาเซ่จิกหัวใช้เสมอๆ เขาชอบทำอาหาร

ตัวละครรอง

แบมบี้ เด็กผู้หญิงที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ในโรงเรียน ทอมมี่แอบชอบเธอ

เคิร์ท เด็กเกเรแถวบ้านทอมมี่ เขามีลูกน้องสองคนชื่อ สตู กับ ออกี้ เขาเป็นแฟนกับแบมบี้

โรบอตเกิร์ล ผลงานของศจ.โมชิโม่ที่มีลักษณะคล้ายๆกับโรบอตบอย เธอต่างจากโรบอตบอยตรงสีและและสวมกระโปรง เธอมีซูเปอร์แอคทิเวชั่นเช่นเดียวกับโรบอตบอย เธอปรากฏตัวมาเพียงตอนเดียวเท่านั้น

วายร้ายคนอื่นๆ

โปรโตบอย ผลงานก่อนหน้าโรบอตบอยของศจ.โมชิโม่ โปรโตบอยถูกส้รางสำหรับการรบทำให้มีจิตใจที่โหดร้ายและนิสัยก้าวร้าว เขาปรากฏตัวในตอน Brother และบอกโรบอตบอยว่าเขาเป็นพี่ชายของโรบอตบอยมหากาฬ 17 ลูกน้องของคามิคาเซที่เชี่ยวชาญการปลอมตัว เขาได้รับภารกิจให้ปลอมตัวเป็นทอมมี่แล้วเข้าไปเอาตัวโรบอตบอยมา ในตอนท้ายของตอนเขาก็ถูกโรบอตบอยจับได้เพราะเคราโรบอตแมน ผลงานต่อมาของโรบอตบอยของศจ.โมชิโม่

โรบอตแมนเป็นหุ่นทีมี่ความคิดและการทำงานเหมือนผู้ใหญ่ผู้การยากิโทริ เป็นจอมวายร้ายที่มีผิวหนังเป็นหุ่นยนต์ เขาท้าแข่งกับดร.คามิคาเซ่เพื่อชิงโรบอตบอยบจอร์น บจอร์นสัน เด็กอัจฉริยะผู้อิจฉาผลงานของศจ.โมชิโม่ และได้สร้างหุ่น "บจอร์นบอต" ซึ่งมีพลังและความสามารถเทียบเท่าโรบอตบอยพ่อของเคิร์ท เป็นสายลับของรัฐบาลที่ต้องการเปิดเผยตัวตนของโรบอตบอยและโคลนนิ่ง

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ยุคเรอเนสซองซ์

อ่าห๊า..เมื่อวาน..วันแม่เพิ่งผ่านไป ตอนแรกกะว่าจะมาอัพบล็อคซะหน่อย

แต่ๆๆๆ...ฉลองวันม่าม๊า...นานไปหน่อย ๕๕๕๕

เลยไม่มีเวลามาอัพเร้ย ยย T^T

แต่ไม่เป็นไร..เพื่อนๆหลายคนก็อัพปัยเยอะแล้ว..เดี๋ยวซ้ำมากน่าเบื่อเนอะๆๆ


วันนี้ก็เลย..มีความรู้มาฝาก**

ยังจำกันได้รึเปล่า..วันเสาร์ที่เรามาเรียนพิเศษกับอ.เกรียงกันอ่ะ

อ.เกรียงพูดถึง ยุคเรอเนสซองซ์ มันน่าสนใจมากเลยนะ

ก็เลยอยากเจาะลึกเรื่องนี้อีกสักนิด..

ช้าทำไมเนี้ย..อ่านเลยดีกว่า!!~



ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา หรือ ยุคเรอเนสซองซ์ (ฝรั่งเศส: Renaissance; แปลว่า การเกิดใหม่ อิตาลี: Il Rinascimento; อังกฤษ: Renaissance ) เป็นช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมยุคใหม่ ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอยู่ระหว่างยุคกลาง (Middle Age) และยุคปัจจุบัน (Modern Age) การเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมเริ่มต้นในประเทศอิตาลี เนื่องจากเป็นประเทศที่เป็นเมืองท่าในการติดต่อค้าขายระหว่างโลกตะวันตกและโลกตะวันออกในคริสต์ศตวรรษที่ 14 และยุโรปเหนือในคริสต์ศตวรรษที่ 16

รูปปั้นเดวิด เมืองฟลอเรนซ์ ปะรเทศอิตาลี

หนึ่งในประติมากรรมชิ้นเอกของยุคนี้ มองให้เป็นศิลปะกันด้วยละ



ประวัติของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

หลังจากสงครามครูเสดอันยาวนานร่วม 300 ปีสิ้นสุดลง ยุโรปก็เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เนื่องจากมีการขุดค้นพบซากเมืองโบราณของกรีกและโรมัน ทำให้ยุโรปได้นำศิลปวิทยาการจากการขุดค้นพบมาปรับปรุง ดัดแปลงใหม่ ทำให้ยุโรปมีความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทุกๆด้าน อาทิเช่น
ศิลปศาสตร์ ศิลปินและผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี ผู้วาดรูปโมนาลิซ่า ไมเคิล แองเจลโล ผู้ปั้นรูปปั้นเดวิด ซึ่งเชื่อว่าเป็นชายที่มีสัดส่วนสมบูรณ์ที่สุดในโลก ราฟาเอล ผู้กำกับการสร้างและตกแต่ง มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เป็นต้น


เทคโนโลยี เทคโนโลยีที่สำคัญคือ เทคโนโลยีการต่อเรือ โดยชาติที่เป็นผู้ริเริ่มคือ โปรตุเกส และ สเปน ซึ่งทำให้การติดต่อค้าขายกับเอเชียสะดวกขึ้น
วิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น เซอร์ไอแซก นิวตัน ผู้ค้นพบกฎแรงโน้มถ่วง เป็นต้น
ตัวอย่างศิลปะแบบเรเนสซองซ์ในไทย เช่น พระราชวังพญาไท



ศิลปะ

ศิลปะเรอเนสซองซ์ (พ.ศ. 1940 - 2140) คำว่า "เรอเนสซองซ์" หมายถึง การเกิดใหม่ ซึ่งเป็นการระลึกถึงศิลปะกรีกและโรมันในอดีต ซึ่งเคยรุ่งเรืองให้กลับมาอีก ศิลปะเรเนสซองซ์ไม่ใช่การลอกเลียนแบบจากอดีต แต่เป็นยุคสมัยแห่งการเน้นความสำคัญของลักษณะเฉพาะบุคคล มีความสนใจลักษณะภายนอกของมนุษย์ และ ธรรมชาติ เป็นแบบที่มีเหตุผลทางศีลธรรม ก่อให้เกิดความกระตือรือร้นในการค้นหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น "ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา" โดยมีรากฐานมาจากประเทศอิตาลี และแผ่ขยายไปยังดินแดนต่าง ๆ ในยุโรป


ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา วัดยังคงเป็นผู้อุปถัมภ์ที่สำคัญของเหล่าศิลปินนอกจากนี้ยังมีพวกขุนนาง พ่อค้าผู้ร่ำรวย ซึ่งเป็นชนชั้นสูงก็ได้ว่าจ้าง และอุปถัมภ์เหล่าศิลปินต่าง ๆ ด้วย ตระกูลที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ได้แก่ ตระกูลวิสคอนตี และสฟอร์ซา ในนครมิลาน ตระกูลกอนซากาในเมืองมานตูอา และตระกูลเมดีชีในนครฟลอเรนซ์ การอุปถัมภ์ศิลปินนี้มีผลในการกระตุ้นให้ศิลปินใฝ่หาชื่อเสียง และความสำเร็จมาสู่ชีวิตมากขึ้น ผลงานของศิลปินที่มีทั้ง จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ทำให้ชื่อเสียงของศิลปินหลายคน เป็นที่รู้จักทั่วโลกตลอดกาล เช่น ลีโอนาร์โด ดา วินชี มิเกลันเจโล ราฟาเอล สถานภาพทางสังคมของศิลปินเป็นที่ยอมรับกันอย่างสูงในวงสังคม เกิดสำนักทางศิลปะเพื่อฝึกฝนช่างฝีมือ และเกิดมีศิลปินระดับอัฉริยะขึ้นมาอย่างมากมาย และในยุคยุคฟื้นฟูศิลปวิทยานี้เอง ที่มีการพัฒนาการพิมพ์ขึ้นในประเทศเยอรมนีโดยโยฮันน์ กูเทนแบร์ก เป็นผู้ผลิตนวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมา ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ทำให้ศิลปะการพิมพ์ได้เริ่มมีการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างจริงจัง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Champs-Élysées


ชอง เอลิเซ่ หรือ ชอง (Champs-Élysées)

แต่ดั้งเดิม เข้าใจกันว่าเป็นซุ้มประตูยักษ์ อยู่กลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศษ
ชื่อมีความหมายว่า ประตูชัย ในเวลาพิเศษเค้าเอาไว้เป็นสถานที่ให้ทหารเดินสวนสนามกัน
แต่ในเวลาปกติ เค้าเอาไว้ให้หมาขี้

เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยมีโครงการสร้าง ชอง เอลิเซ่ จำลองมาไว้ที่ถนนราชดำเนิน
เช่นเดียวกับปะเทศลาว ที่มีโครงการสร้าง ประตูชัย จำลองมาไว้ที่กลางกรุงเวียงจันทน์
แต่แล้วโครงการก่อสร้างก็ล้มเลิกไป
ไม่งั้นป่านนี้เมืองเทยก็มีลานให้หมาขี้ อยู่กลางกรุง เหมือนฝรั่งเศษ และลาว

เมื่อ พ.ศ. 2538 เสี่ยอ่าง
ได้สานฝันของประเทศเทย ที่จะสร้าง ชอง เอลิเซ่ ที่ยิ่งใหญ่อลังการ โอ่โถง โอ่อ่า ขึ้น
ในกรุงเทพมหานคร กลางสี่แยกอสมท กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำ
ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 2300 บาท ต่อ 2 ชั่วโมง

ปัจจุบัน เสี่ยอ่าง ขายหุ้นในชอง เอลิเซ่ ให้กับนักธุรกิจจากจังหวัดขอนแก่น ไปหมดแล้ว
เพื่อนำเงินไปเล่นการเมือง


ความจริงแล้วชอง เอลิเซ่ ในปารีสนั้น ว่ากันว่าเป็นตรอกที่สวยที่สุดในโลก แต่จากข้อมูลปกปิด ชอง เอลิเซ่ เป็นย่านขายบริการในปารีส



**************



หลุย วิดตอง


ก็เพิ่งได้เห็นกับเขานี่แหล่ะว่า "กระเป๋าหลุยฯ" ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเนี่ย
มันตั้งอยู่ที่หน้าร้านหลุยฯแห่งถนนสายช๊อปปิ้งที่ชื่อว่า "ชอง เอเลเซ่" นั่นเองลูกค้าที่นี่เยอะมาก
เพราะว่าถ้าต้องการซื้อหากระเป๋าดีไซน์ใหม่ล่าสุดจากหลุยฯ ต้องรอซื้อจากที่นี่เท่านั้น
เดินแถวนี้จะเจอกับคนจีนที่จะคอยมาถาม-ไว่วาน ให้เราเข้าไปช่วยซื้อกระเป๋าหลุยฯ ให้หน่อย
เพราะว่าพวกเนี้ยถูกขึ้นบัญชีดำของร้านหลุยฯ ไปหลายคนแล้ว


เหตุก็คือซื้อไปเพื่อก๊อปปี้ขาย เข้าออกร้านหลุยบ่อยจนจำหน้าได้
เลยต้องหาพวกหน้าใหม่เข้าไปซื้อให้ ถ้าเรารับปากเข้าไปซื้อให้ก็จะได้รับค่าเหนื่อยมากพอควรอยู่เหมือนกัน


วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

History Of Chocolate**



The a tasty secret of the cacao (kah KOW) tree was discovered 2,000 years ago in the tropical rainforests of the Americas. The pods of this tree contain seeds that can be processed into chocolate. The story of how chocolate grew from a local Mesoamerican beverage into global sweet encompasses many cultures and continents.

The first people known to have made chocolate were the ancient cultures of Mexico and Central America. These people, including the Maya and Aztec, mixed ground cacao seeds with various seasonings to make a spicy, frothy drink.


Later, the Spanish conquistadors brought the seeds back home to Spain, where new recipes were created. Eventually, and the drink’s popularity spread throughout Europe. Since then, new technologies and innovations have changed the texture and taste of chocolate, but it still remains one of the world’s favorite flavors.


Select which part of chocolate’s long history you’d like to explore first:


  • Chocolate: A Mesoamerican LuxuryUnearth the ancient history of chocolate’s origins as a bitter but beloved beverage in Mesoamerican culture. You’ll discover chocolate’s significance in Maya and Aztec religious ceremonies and learn about the important role it played in social circles.

  • Chocolate: A European SweetExplore the cultural exchange of chocolate as it crossed the ocean and traveled to Europe after the Spanish conquest of Mexico. You’ll learn how France, England, and other countries also made their mark on chocolate’s history.

  • Chocolate: A Contemporary ConfectionInvestigate the effects that new technological innovations of the Industrial Revolution had on chocolate. You’ll find out how it evolved from the sweet drink of kings into its current chocolate bar form loved by so many people today.

credit :http://www.fieldmuseum.org/Chocolate/history.html